กาฬสินธุ์ ฝนตกน้ำยังเข้าเขื่อนลำปาวต่อเนื่องประกาศจำเป็นเพิ่มปริมาณระบายน้ำ
หลายพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ยังคงได้รับผลกระทบจากหย่อมความกดอากาศต่ำ ส่งผลให้มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลำปาวต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้ปริมาณน้ำเกินระดับกักเก็บ 100 เปอร์เซ็นต์ ประกาศจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำจากวันละ 13 ล้าน ลบ.ม.เป็นวันละ 17 ล้าน ลบ.ม.ด้านผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ยืนยันระบายให้มีผลกระทบพื้นที่น้อยที่สุด
https://youtu.be/sG5EPMSonAk
วันที่ 27 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง และมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เข้าสู่วันที่ 2 ทำให้แหล่งน้ำต่างๆมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนลำปาว ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และล่าสุดยังคงเกินระดับกักเก็บ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมีการปรับแผน เพิ่มการระบายน้ำจากเดิมวันละ 13 ล้าน ลบ.ม.เป็นวันละ 17 ล้าน ลบ.ม. เพื่อรักษาสมดุล พร้อมทั้งเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ด้านล่าง เพื่อที่จะได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด
ขณะที่นายสำรวย  อินพิทักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว หรือ เขื่อนลำปาว  พร้อมเจ้าหน้าที่ ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำปาวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการระบายน้ำที่บริเวณอาคารระบายน้ำ และตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของสันเขื่อน
โดยนายสำรวย  อินพิทักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว กล่าวว่า ปัจจุบันยังมี น้ำไหลเข้า อ่างเก็บน้ำลำปาวเฉลี่ยวันละ 20 – 25 ล้าน ลบ.ม. และล่าสุดวันนี้มีน้ำไหลเข้าเพิ่มอีกกว่า 30 ล้าน ลบ.ม.
ทำให้ขณะนี้เขื่อนลำปาวมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 2,034 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 102.73 ของความจุที่ระดับเก็บกัก 1,980 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีปริมาณน้ำเกินระดับเก็บกัก 54 ล้าน ลบ.ม.รวมทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ และออกประกาศแจ้งเตือนพื้นที่อาจมีฝนตกหนักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ซึ่งจะมีฝนตกใน จ.กาฬสินธุ์ และ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เหนือเขื่อนด้วย จึงอาจทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ  และจากค่าเฉลี่ยในเดือนตุลาคม จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำอีกประมาณ 240 ล้าน ลบ.ม.
นายสำรวย กล่าวต่อว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทางเขื่อนมีการระบายน้ำผ่านอาคารระบายน้ำ (Service Spilway) ในอัตราวันละ 13 ล้าน ลบ.ม.แต่ยังไม่ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำมีแนวโน้มลดลง ซึ่งล่าสุดจึงมีความจำเป็นจะต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านอาคารระบายน้ำเป็นวันละ 13  ล้าน ลบ.ม. เป็นวันละ 17 ล้าน ลบ.ม.และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดจนถึงประมาณวันละ 20 ล้าน ลบ.ม.หากยังมีปริมาณน้ำไหลเข้าเพิ่ม ซึ่งจะทำให้ระดับในลำน้ำปาวด้านท้ายเขื่อน มีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้การระบายน้ำจะมีการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระทบพื้นที่ด้านล่างน้อยสุด จึงขอประกาศให้ประชาชนด้านท้ายเขื่อน บริเวณสองฝั่งลำน้ำปาว ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขนย้ายสิ่งของที่อยู่บริเวณที่ต่ำขึ้นที่สูง เพื่อป้องกันความเสียหาย ซึ่งโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว จะประกาศสถานการณ์น้ำให้ได้ทราบเป็นระยะต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของตัวสันเขื่อน และอาคารระบายน้ำ มีการตรวจสอบ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง ยืนยันว่ายังคงมีความมั่นคงแข็งแรงเหมือนเดิม