“รองจอห์น” ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เบอร์ 7 ไม่หวั่นกระแส ลุยพบปะพี่น้องในชุมชนรับฟังปัญหา พร้อมหาทางออกช่วยพี่น้อง เขต 1 ขอนแก่น

“รองจอห์น” ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เบอร์ 7 ไม่หวั่นกระแส ลุยพบปะพี่น้องในชุมชนรับฟังปัญหา พร้อมหาทางออกช่วยพี่น้อง เขต 1 ขอนแก่น

นายบุญฤทธิ์ พาณิชย์รุ่งเรือง (รองจอห์น) ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ขอนแก่น เบอร์ 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครทุกคนมีโอกาส แต่ตนเคยทำงานเป็นที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครขอนแก่น ,สมาชิกสภาเทศบาลนครขอนแก่น ,ประธานสภาเทศบาลนครขอนแก่น และ รองนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น จึงมีความคุ้นเคยกับชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น และเป็นคนที่อยู่ติดพื้นที่มาตลอดไม่เคยทิ้งประชาชนไปไหน

จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องในพื้นที่ตำบลพระลับ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้สินค้าเกษตรมีราคาที่ดี ตอนนี้พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องของต้นทุน ตั้งแต่ค่าปุ๋ย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พี่น้องเกษตรกรได้เล่าให้ฟัง รวมทั้งปัญหาเรื่องของราคาน้ำมัน เรื่องนี้ก็จะเป็นนโยบายในระดับประเทศ ส่วนนโยบายในระดับพื้นที่ ตนมองว่าอย่างเช่น ในการเพาะปลูก ถ้าเราหาผู้เชี่ยวชาญผู้ที่มีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพาะปลูก และประเภทของ พืชผักชนิดใดที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคา

ที่สำคัญก็จะต้องมีช่องทางการตลาด ต้องมีการประสานถึงความต้องการของห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ ที่มียอดสั่งซื้อสินค้าเกษตรว่า เขาต้องการสินค้าประเภทผักแต่ละชนิดในแต่ละวันจำนวนเท่าไหร่ ถ้าเราสามารถจับคู่ทางธุรกิจกันได้ ก็จะทำให้พี่น้องเกษตรกรไม่หลงประเด็น ปลูกผักได้ตรงความต้องการของผู้บริโภค และมีอำนาจต่อรองในการกำหนดราคาสินค้าได้


นายบุญฤทธิ์ พาณิชย์รุ่งเรือง (รองจอห์น) ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ขอนแก่น เบอร์ 7 กล่าวต่อว่า จากการพูดคุยได้สอบถามว่า เวลาเพาะปลูก ปลูกอะไรกันบ้าง ก็ได้คำตอบว่าในเขตพื้นที่มีการปลูกพืชชนิดเดียวกัน ปลูกผักก็ปลูกผักชนิดเดียวกัน ดังนั้นสินค้าที่ออกมาก็จะมีจำนวนมากจนเกินความต้องการ ทำให้ผลผลิตมีราคาที่ตกต่ำ ซึ่งขอนแก่นจริงๆ แล้วเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ เรามีแหล่งน้ำที่ดี มีแหล่งดินที่ดี เพียงแต่ต้องมีการจัดการในเรื่องที่จะเพาะปลูก เกษตรกรจำเป็นต้องมีการจัดตารางการเพาะปลูก เช่น ผักแต่ละชนิดจะต้องมีการปลูกหมุนเวียนกันไปตามความต้องการ หาก ร้านค้าต้องการจะได้ต้นหอมวันละประมาณ 500 กิโลกรัม ต้องการผักกาดวันละประมาณ 2-3 ตัน ความหมายก็คือ ถ้าเรามีการจัดการในเรื่องการจัดการกับคำสั่งซื้อจากห้างร้านใหญ่ๆ เราต้องให้เกษตรกรมีการวางแผนในการเพาะปลูกสินค้าแต่ละประเภทอย่างไร ให้เพียงพอต่อความต้องการและมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่ห้างร้านใหญ่ๆ ต้องการ

“ผมว่าตรงนี้จะเป็นการช่วยลดปัญหาเรื่องของสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ เนื่องจากเราจะผลิตตามคำสั่งซื้อตามความต้องการจริง ที่สำคัญที่สุดจากสินค้าเกษตรที่ควรจะได้ราคาก็ทำให้สินค้าราคาตก ดังนั้นเราควรจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำให้ผลผลิตนั้นมีคุณภาพ เนื่องจากการส่งสินค้าเกษตรเข้าไปจำหน่ายในห้างร้านทั้งค้าปลีก-ค้าส่ง จำเป็นจะต้องมีการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และให้มีความเป็นธรรม” รองจอห์น กล่าวและเปิดเผยต่อว่า

“ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เกษตรกรจะได้รับ ผมว่าควรจะต้องมีการจัดการที่ดี และที่สำคัญจะต้องมีผู้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงเกษตรฯ ที่มีหน้าที่ส่งเสริม รวมทั้งภาคเอกชน ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งไม่ได้มองเพียงแค่การเพาะปลูก ซึ่งจากการที่ได้ไปดูงานทั้งในและนอกประเทศมา ผมมองว่าศักยภาพของพื้นที่ตำบลพระลับ ยังสามารถทำเป็นพื้นที่ตลาดควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวได้ และยังเป็นความต้องการของคนในพื้นที่อีกด้วย”

เหมือนที่เราเห็นว่าบางคนขับรถไปเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เพื่อไปดูบรรยากาศคาเฟ่เถียงนา ซึ่งจริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องขับรถไปไกลๆ เพื่อไปดูคาเฟ่เถียงนาที่อื่นเลย เพียงแต่อันนั้นเป็นเรื่องของนายทุนที่เขาทำ แต่ถ้าเราสามารถพาชุมชนทั้งหมดซึ่งแต่ละคนมีที่นา 20-30 ไร่ รวมทั้งหมดประมาณ 200 ไร่ เราก็สามารถทำเป็นพื้นที่เป็นวิลล่าเมืองเกษตร เหมือนกับที่ผมเคยไปดูงานมา ซึ่งเขาสามารถทำได้ เพียงแต่ว่ายังไม่มีคนพาเขาทำ ซึ่งในพื้นที่การเกษตรนี้ สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

รองจอห์น กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ผมได้มีการพูดคุยกับทางกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขามีความต้องการที่จะมาพักอาศัยอยู่ที่เมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเขตภาคอีสานบ้านเรา เนื่องจากแต่ก่อนนี้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไปพักอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ ศรีราชา ชลบุรี ภูเก็ต และกรุงเทพฯ แต่เดี๋ยวนี้เชียงใหม่อยู่ไม่ได้เพราะมีปัญหา PM 2.5 และแผ่นดินไหว ส่วนที่ศรีราชา ชลบุรี มีโรงงานหลายแห่งไม่สงบเงียบเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้คนที่อยู่ศรีราชาส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัท ผู้สูงอายุก็จะไม่อยู่แล้ว ส่วนที่จังหวัดภูเก็ต หลังจากมีสถานการณ์โควิดเขาก็กังวลเรื่องการปิดเกาะ กลัวเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น กรุงเทพฯ ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้มีปัญหามลภาวะทางอากาศและค่าครองชีพสูง ทำให้ตอนนี้คนญี่ปุ่น ร่วมทั้งคนต่างชาติหันกลับมามองพื้นที่ที่ภาคอีสาน

ตามที่ผมได้คุยกันไว้ซึ่งในภาคอีสานเขามองอยู่ 2 ที่ก็ คือ จังหวัดขอนแก่น และอุดรธานี เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะต้องมีที่พักใกล้สถานพยาบาล ต้องมีสนามบินนานาชาติ มีการคมนาคมที่สะดวกในการเดินทาง และมีสถานกงสุลต่างๆ ตั้งในจังหวัด ที่จะคอยดูแลให้การช่วยเหลือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จังหวัดขอนแก่นตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งผมได้คุยกับเขาแล้วว่าถ้าเรามีปัจจัยต่างๆ ที่ช่วยเขา แล้วเขาก็ถามว่าที่ขอนแก่นมีอะไรให้เขาบ้าง ผมก็ตอบว่าขอนแก่นเรามีเรื่องของการรักษาพยาบาล ส่วนเรื่องของการเดินทาง เครื่องบินเราก็มีสนามบินนานาชาติ มีนักลงทุนที่สนใจจะมาสร้างบ้านพักคนชราสำหรับผู้สูงอายุ แต่สิ่งสำคัญคือถามแล้วเขาก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปอยู่ที่ไหน ซึ่งตรงนี้แหละครับผมมองว่าถ้าเป็นพื้นที่ตำบลพระลับ เหมาะที่จะเป็นครัวของคนอีสาน เป็นครัวของขอนแก่น เป็นสถานที่พักผ่อนใกล้ชานเมืองที่ไม่ใกล้ไม่ไกล และยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับทำการเกษตร และสามารถลดต้นทุนในการบริโภคให้กับคนขอนแก่นได้

ซึ่งตอนนี้ผมเจอกับปัญหาผลผลิตทางการเกษตร คือ เราเพาะปลูกที่ขอนแก่นก็จริง แต่เราต้องเอาผลผลิตขึ้นรถไปและมีการส่งผ่านมือพ่อค้าคนกลางตามกลไกของการตลาด ซึ่งถ้าหากเราสามารถตัดได้ ไม่ใช่ตัดการค้าขาย แต่แทนที่เราจะวิ่งไปวิ่งมาที่ตลาดกลาง แต่เราจัดตั้งตลาดกลางของเราขึ้นมาเอง เช่น ตลาดอู้ฟู่ ตลาดเจริญศรี ตลาดรถไฟ ถ้าเขาสามารถขายผ่านตรงนี้ได้ ก็จะเป็นการลดค่าใช้จ่าย อันนี้เป็นแค่ตัวอย่าง หากพี่น้องต้องการให้สิ่งดีๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเราจริง ต้องเลือกคนที่รู้ปัญหา สุดท้ายขอฝาก “บุญฤทธิ์ พาณิชย์รุ่งเรือง” (รองจอห์น) เบอร์ 7 ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดขอนแก่น พรรครวมไทยสร้างชาติ ไปทำงานรับใช้พี่น้องเรา “เลือกคนทำงาน เลือกคนทำจริง”