กฟผ.- เชลล์ หนุนนโยบายโลกลดการปล่อยคาร์บอน ร่วมศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการกักเก็บคาร์บอน

กฟผ.- เชลล์ หนุนนโยบายโลกลดการปล่อยคาร์บอน ร่วมศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการกักเก็บคาร์บอน

กฟผ. และ บ. เชลล์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนาม MOU แลกเปลี่ยนและศึกษา Clean Energy Development มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เดินหน้าประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนและศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อาทิ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และกักเก็บคาร์บอน Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) และเทคโนโลยีเชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ. นนทบุรี


นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว กฟผ. ได้ขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ ‘Triple S’ คือ Sources Transformation เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พัฒนาเทคโนโลยีทางเลือก และเทคโนโลยีเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน Sink Co-creation เพิ่มแหล่งดูดซับกักเก็บคาร์บอน ผ่านโครงการปลูกป่าล้านไร่

และการศึกษาเทคโนโลยี CCUS และ Support Measures Mechanism ส่งเสริมการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกในภาคประชาชน ผ่านโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 โครงการห้องเรียนสีเขียว และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ทั้งเทคโนโลยี CCUS การใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และแอมโมเนีย เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ

ทั้งนี้ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน และตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ ผลจากความร่วมมือนี้จะนำไปใช้กับโรงไฟฟ้าและโครงการอื่น ๆ ของ กฟผ. ในอนาคต เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศและระดับโลกต่อไป


ด้านนายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันเชลล์ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ Powering Progress โดยริเริ่มโครงการต่าง ๆ ขึ้นทั่วโลก เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในธุรกิจของเชลล์ การซื้อขาย Carbon Credit และ Renewable Energy ศึกษาและวิจัยเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแอมโมเนีย และเทคโนโลยี CCUS ซึ่งเชลล์มีโครงการที่ดำเนินการแล้ว และอยู่ในระหว่างการพัฒนากว่า 10 แห่งทั่วโลก จากความมุ่งมั่นของเชลล์ และ กฟผ. ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจของตน นำมาสู่ความร่วมมือในครั้งนี้ เชลล์เชื่อมั่นว่า ศักยภาพของประเทศไทย บุคลากรไทยที่มีความสามารถ ผนวกกับองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ กฟผ. และเชลล์ จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนไทย ช่วยผลักดันประเทศไทยไปสู่เป้าหมายของประเทศในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ.2065