“อลงกรณ์”เห็นตรง“ดร.ธรณ์”ไทยเผชิญวิกฤติโลกร้อนทะเลเดือด ชี้โลกรวน คือวิกฤตการณ์แห่งศตวรรษที่21
   “อลงกรณ์”เห็นตรง“ดร.ธรณ์”ไทยเผชิญวิกฤติโลกร้อนทะเลเดือด ชี้โลกรวน คือวิกฤตการณ์แห่งศตวรรษที่21
     เร่งผนึกทุกภาคีเดินหน้าโครงการคาร์บอนสีน้ำเงิน(Blue Carbon)หวังฟื้นฟูป่าชายเลนลดคาร์บอน110 ล้านตันสู่เป้าหมายเน็ทซีโร่(Net Zero)
https://youtu.be/Xn6yffyimNQ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท โพสต์บทความวันนี้เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตโลกร้อนกับผลกระทบต่อประเทศไทยและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงินในหัวข้อ“โลกรวน คือวิกฤตแห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”โดยมีข้อความว่า
อ่านเรื่อง โลกเดือด ทะเลเดือดของดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้องที่เคยร่วมงานขบวนการปฏิรูปประเทศก็เห็นตรงกัน100%และขอร่วมแชร์ปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้ว(Extreme)ที่ทำให้เกิดภาวะ“โลกรวน”ในหัวข้อ
“โลกรวน คือวิกฤติการณ์แห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”
ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกร้อนทะเลเดือดเป็นวิกฤตแห่งศตวรรษที่21ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกทำให้มีความพยายามที่จะลดก๊าซเรือนกระจกด้วยมาตรการต่างๆภายใต้กรอบการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติหรือ (COP) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตัวอย่างเช่นสหภาพยุโรปเริ่มใช้ระบบภาษีคาร์บอนในรูปมาตรการCBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป
      สำหรับประเทศไทยของเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 0.8 ของโลกมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก
โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิกว่า 240ล้านตันต่อปี เฉพาะด้านการใช้พลังงาน
โดยภาพรวมในปี 2565ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น1.5%
“หากจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภาคพลังงานจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ปีละ 86 ล้านตันคาร์บอนฯ และป่าไม้ต้องดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 120 ล้านตันคาร์บอน”   แต่ถ้าทำไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น
    องค์การสหประชาชาติคาดว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ ฯลฯ ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
     ยิ่งกว่านั้นคือจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติรุนแรงที่สุด10อันดับแรกของโลก
    การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยทั้งการลดปริมาณการปล่อยและเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับหรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งต้องผนึกความร่วมมือทุกฝ่ายทำงานเชิงรุกทุกหน้างาน
   ดังนั้นการเดินหน้าเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)เช่นโครงการปลูกโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยอธิบดีคนใหม่นายปิ่นสักก์ สุรัสวดีที่ช่วยปลดล็อคปมส่อทุจริตของโครงการนี้ในอดีตพร้อมกับขยายความร่วมมือทุกภาคส่วนทำให้เกิดเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)เป็นครั้งแรกถือเป็นตัวอย่างที่ดีของโครงการลดคาร์บอนเนื่องจากป่าชายเลนของประเทศไทยมีศักยภาพลดคาร์บอนได้ถึง 110 ล้านตันในระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้เป็นรายงานของดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องป่าชายเลนในหลายประเทศมากว่า 40 ปี ระบุว่า
 “…การสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าชายเลนโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมา พบว่าป่าชายเลนของประเทศไทยสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือพื้นดินได้ 27.1 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) และสะสมในดิน 16.9 ตันต่อเฮกตาร์ รวมแล้ว 44.0 ตันต่อเฮกตาร์ ประมาณการณ์ได้ว่าป่าชายเลนของประเทศไทยประมาณ 1.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 0.24 ล้านเฮกแตร์ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 11 ล้านตันต่อปี…“
    เพื่อระดมพลังทุกภาคส่วนในการเร่งทำงานลดโลกร้อนลดคาร์บอน ทางมูลนิธิฯ.ได้หารือกับผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)และกรมทช.เกี่ยวกับการจัดสัมนาเรื่อง  “ป่าโกงกาง สู่เป้าหมายซีโร่คาร์บอน(Zero Carbon)ของประเทศไทย”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)ลดโลกร้อนในเร็วๆนี้
โดยต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามูลนิธิฯ.ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MoU)กับ32 องค์กรภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งนับเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตามหลักการ 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ ในการปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชายเลน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ การจัดการป่าชายเลนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) และการประกอบอาชีพที่ยั่งยืนของชุมชนป่าชายเลน ในพื้นที่เป้าหมาย 24 จังหวัดชายทะเลของประเทศไทยซึ่งจะมีการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) ในงานวันป่าชายเลนแห่งชาติ 10 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมช้างเผือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไทยในการแก้ปัญหาโลกร้อน
“มูลนิธิจะสนับสนุนการพัฒนาและการอนุรักษ์ป่าโกงกาง รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนและคนรุ่นต่อไปเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรป่าชายเลนและจะดำเนินการปลูกต้นโกงกางเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การทำโครงการคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) การพัฒนาองค์ความรู้ว่าด้วยเรื่องบลูคาร์บอน (Blue Carbon) รวมถึงการศึกษาและการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าชายเลนด้วยความร่วมมือระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หน่วยราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น รวมถึงชุมชนในพื้นที่ในการปลูกและขยายพันธุ์เมล็ดและฝักโกงกางในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย”