มุกดาหาร -ลุงพลยังมั่นใจทีมทนายเดิมให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ หลังถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี เชื่อมีโอกาสชนะคดีเพราะแพ้คดีแบบไม่เอกฉันท์

มุกดาหาร -ลุงพลยังมั่นใจทีมทนายเดิมให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ หลังถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี เชื่อมีโอกาสชนะคดีเพราะแพ้คดีแบบไม่เอกฉันท์

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 20 ธันวาคม ที่โรงแรมริเวอร์ ฟร้อนท์ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นงสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ซึ่งเป็นลุงและป้าน้องชมพู่ พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความ และคณะทนายความจากสำนักกฎหมายธรรมรังสี แถลงข่าวภายหลังจากฟังคำพิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหารว่าลุงพลกระทำความผิดใน 2 ข้อหา คือ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292, 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 20 ปี นั้น ทางทีมทนายความก็จะดำเนินการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต่อไป โดยหลังจากนี้ทางทีมทนายความก็จะยื่นขอคัดคำพิพากษาของศาลจังหวัดมุกดาหารซึ่งมีจำนวนร้อยกว่าหน้า

โดยขณะที่อ่านคำพิพากษายังเป็นร่างอยู่ โดยทางเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าจะใช้เวลาในการพิมพ์และสามารถมาขอคัดถ่ายได้อีกประมาณ 15 วัน หลังจากนั้นจึงจะนำคำพิพากษามาศึกษารายละเอียดในประเด็นต่างๆ เพื่อที่จะนำไปเรียบเรียงประกอบพยานหลักฐานที่ได้เคยนำเสนอต่อศาลในระหว่างการสืบพยาน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต่อไปได้ ทั้งนี้ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีก็คือการที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารได้ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกแห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 หรือลุงพล เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงเห็นได้ว่าผลคดีนี้หากจะเรียกว่าแพ้ก็ยังถือว่าเป็นความแพ้อย่างไม่เป็นเอกฉันท์ โดยเปรียบเสมือนว่ามีกรรมการ 2 ท่านตัดสินให้ฝ่ายลุงพลชนะ แต่มีกรรมการเพียง 1 ท่านที่ตัดสินให้แพ้คดี ซึ่งทางทีมทนายจะได้ศึกษาความเห็นแย้งดังกล่าวว่ามีส่วนใดที่ตรงกับทางนำสืบของจำเลย และมีส่วนใดที่แตกต่างหรือเพิ่มเติมขึ้นมาและหากทีมทนายเห็นว่าน่าจะเป็นผลดีกับจำเลย ก็จะนำมาเรียบเรียงไว้ในคำอุทธรณ์ด้วย

ในส่วนนี้มีการสืบพยานหลักฐานมาตั้งแต่ชั้นต้นทางทนายถือว่ามีการสืบพยานและนำพยานเอกสารเข้าสู่ได้โดยสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วแต่อย่างไรก็ตามเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาออกมาในลักษณะดังกล่าวก็น้อมรับและจะทำการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป

ในอีกเรื่องหนึ่งที่จะยกขึ้นมาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ก็คือโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานแสดงให้เห็นว่าลุงพลเป็นผู้พาน้องชมพู่ไป และไม่มีเหตุจูงใจในการที่ลุงพลจะทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต

นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล กล่าวว่า ยังคงมีความมั่นใจในทีมทนายความจากสำนักกฎหมายธรรมรังสี เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป โดยเชื่อว่าทีมทนายจะสามารถพิสูจน์ให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตนไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่

 

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259-777