ยะลา-จบลงด้วยดี ปัญหาที่ดินธนารักษ์ใน อ.เบตง หลังชาวบ้านได้เข้าพบเจ้าของที่ดิน จนทราบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งสื่อขมา หลังจากเข้าใจผิดมานาน

ยะลา-จบลงด้วยดี ปัญหาที่ดินธนารักษ์ใน อ.เบตง หลังชาวบ้านได้เข้าพบเจ้าของที่ดิน จนทราบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งสื่อขมา หลังจากเข้าใจผิดมานาน

 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค.66 ตัวแทนสมาคมผู้ไม่มีที่ดินทำกินและอยู่อาศัยเบตง ได้เข้าพบสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจในข้อเท็จจริง กรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินธนารักษ์ในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา ระหว่างนายวีระวัฒน์ วัฒนายากร ผู้ได้สิทธิ์ครอบครองท่่ดินถูกต้องตามกฏหมาย กับตัวแทนและสมาชิกของสมาคมผู้ไม่มีที่ดินฯ

โดยนายประเสริฐ เกาะกลาง ตัวแทนของสมาคมฯ ได้บันทึกข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

“ข้าพเจ้า นายประเสริฐ เกาะกลาง ในฐานะตัวแทนของสมาคมผู้ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเบตง และในฐานะส่วนตัว ,นายถ้าย โนรดี, นายมณฑล สุเทวี ขอเรียนชี้แจงต่อกรณีการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวหลายสำนัก เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเรื่องการเช่าและใช้ประโยชน์ในที่ดินของกรมธนารักษ์ในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยผู้เช่าคือ นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร นั้น


สืบเนื่องจากวันที่ 7 มิถุนายน 2565 และวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ข้าพเจ้าได้ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวหลายสำนักไปโดยที่มิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมด และข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของพวกข้าพเจ้า จากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ทำให้ นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร รวมถึง ครอบครัว และวงศ์ตระกูล ได้รับความเสียหายและมีผลกระทบต่อชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอกราบเรียนชี้แจงว่า นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร ไม่ได้มีพฤติกรรมใดๆอย่างที่ข้าพเจ้าเคยให้สัมภาษณ์เลย ความจริงแล้ว นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร ได้รับการโอนสิทธิการเช่าที่ดินมาจาก นายจำเริญ วัฒนายากร ผู้เป็นบิดา ตั้งแต่ปี 2533 และได้ให้การช่วยเหลือชาวบ้าน และผู้ที่เดือดร้อนไม่มีที่ทำกินตลอดมา ทั้งประกอบอาชีพสุจริต โดยนายวีระวัฒน์ เป็นผู้พัฒนาพื้นที่เช่าเพื่อใช้สำหรับปลูกยางพารา และนับแต่ปี 2533 หลังจากได้รับโอนที่ดินมาจากบิดา ก็ได้ทำการตัดโอนสิทธิการเช่าให้แก่ชาวบ้านอยู่อาศัยกว่าร้อยครอบครัว โดยให้เช่ากับกรมธนารักษ์โดยตรง นอกจากนั้นยังได้แบ่งพื้นที่ให้มูลนิธิธรรมตะวัน ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมใช้พื้นที่ เพื่อให้ชาวไทยพุทธ ในอำเภอเบตงได้มีสถานที่ในการประกอบศาสนกิจ โดยที่ดินที่แบ่งโอนสิทธิ การเช่ามีเนื้อที่เพียง 18 ไร่เท่านั้น และได้ทำถูกต้องตามระเบียบของกรมธนารักษ์ทุกประการ

นอกจากกรณีดังกล่าว ที่ดินที่ นายวีระวัฒน์ เช่ามีเนื้อที่ทั้งหมดเพียง 864 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ทำการปลูกยางพารา ปัจจุบันยังได้ปลูกทุเรียน และผลไม้สวนผสมเพิ่มเติม ซึ่งประกอบด้วย มังคุด เงาะ อโวคาโด สะตอ องุ่น แตงโม ฯลฯ รวมถึงได้มีการจ้างคนงานเข้ามาช่วยทำงานในสวน ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวบ้านที่มีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในอำเภอเบตง และหลายครอบครัวก็เป็นผู้ขอเช่าอาศัยอยู่ในที่ดินราชพัสดุแปลงที่ นายวีระวัฒน์ เช่า ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการสร้างอาชีพให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีงานทำ ทั้งไม่เคยขับไล่หรือมีปัญหากับชาวบ้านเลย

ในกรณีการแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านในพื้นที่นั้น ขอชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวเกิดจากความเข้าใจผิด โดยข้อเท็จจริงเกิดจากการที่ชาวบ้านในพื้นที่กลุ่มหนึ่ง ได้เข้าไปบุกรุกมูลนิธิธรรมตะวัน และได้มีการทำลายทรัพย์สินของมูลนิธิธรรมตะวัน เสียหายเป็นเงินหลายแสนบาท มูลนิธิธรรมตะวันจึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว และพนักงานอัยการจังหวัดยะลาเป็นผู้ฟ้องดำเนินคดี ซึ่งในการพิจารณาคดี ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหมด แต่ได้รอการลงโทษไว้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนั้น นายวีระวัฒน์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด

สำหรับการแจ้งความดำเนินคดี นายมณฑล สุเทวี ในข้อหาบุกรุกและลักทรัพย์นั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว มูลเหตุของการดำเนินคดีเกิดจากการที่ นายมณฑล ซึ่งอดีตเคยเป็นคนงานในสวนยางพาราของ นายวีระวัฒน์ แต่ได้ลาออกไปแล้ว ได้เข้ามาตัดต้นกล้วยในสวนของ นายวีระวัฒน์ อยู่บ่อยครั้ง และ นายวีระวัฒน์ ได้ตักเตือนและห้ามให้หยุดการกระทำหลายครั้ง แต่นายมณฑล ก็ไม่หยุดการกระทำ ซึ่งปัจจุบัน นายมณฑล ได้เข้ามาขอขมาต่อ นายวีระวัฒน์ และสัญญาว่าจะไม่กระทำการใดๆที่จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อไป และได้มีการปรับความเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้ว



ส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขายที่ดินราชพัสดุและการถือครองที่ดินโดยนอมินี ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั้น ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงเช่นกัน ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบข้อมูลในภายหลังว่า การลงประกาศขายที่ดินราชพัสดุในเฟสบุ๊คนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากการที่ผู้ได้รับโอนสิทธิการเช่าโดยถูกต้องจาก นายวีระวัฒน์ เป็นผู้ทำการลงโพสต์ขาย ซึ่งกรณีดังกล่าว นายวีระวัฒน์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องที่ข้าพเจ้าให้สัมภาษณ์ว่า นายวีระวัฒน์ ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินราชพัสดุให้แก่บุคคลที่เป็นนอมินีของ นายวีระวัฒน์ นั้น หลังจากได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดจึงได้ทราบว่า สัญญาดังกล่าวคือสัญญาโอนสิทธิการเช่าที่ดิน ซึ่ง นายวีระวัฒน์ สามารถทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าได้ในฐานะผู้เช่าที่ดิน เพียงแต่เพื่อความสะดวกในการทำสัญญา นายวีระวัฒน์ จึงนำเอาสัญญาสำเร็จรูปที่สามารถซื้อหาได้ทั่วไปมาใช้ ทั้งการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวนั้นก็ได้ทำถูกต้องตามระเบียบของกรมธนารักษ์ทุกประการ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2555 และสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ยะลาได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ที่ดินราชพัสดุที่ นายวีระวัฒน์ เช่าทั้งหมดนั้น ทำถูกต้องตามกฎหมายรวมถึงระเบียบของกรมธนารักษ์ ไม่เคยผิดสัญญาหรือเงื่อนไขการเช่าแต่อย่างใด และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนยางพารา นายวีระวัฒน์ และครอบครัว จึงได้มีการหาแนวทางที่จะพัฒนาพื้นที่ให้ยั่งยืน โดยได้ดำเนินการนำเทคโนโลยี ฮอร์โมน แอทเทอร์รีน (ริมโฟร์) มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตของยาง นำวิธีการกรีดยางระบบใหม่ซึ่งมีมาตรฐานสูงและเป็นที่ยอมรับของกรมวิชาการเกษตร ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกในการไม่ใช้สารเคมีในสวนยาง

ดังนั้น ข้าพเจ้า นายประเสริฐ เกาะกลาง ทั้งในฐานะตัวแทนของสมาคมผู้ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเบตง และในฐานะส่วนตัว, นายถ้าย โนรดี และนายมณฑล สุเทวี จึงกราบขอขมาต่อ นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร ครอบครัว และต่อตระกูลวัฒนายากร มา ณ โอกาสนี้ และจะทำการนำเสนอข้อเท็จจริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริงต่อสื่อมวลชน และสำนักข่าวทุกสำนักต่อไป“

ทั้งนีัจากข้อพิพาทดังกล่าว ได้มีการฟ้องร้องกัน จนศาลจังหวัดยะลา ได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มาพบ เพื่อไกล่เกลี่ยกัน จนสุดท้าย นายวีระวัฒน์ วัฒนายากร ผู้ครอบครองที่ดิน ได้ให้ทนายส่วนตัว เป็นตัวแทนในกาาไกล่เกลี่ยกันครั้งแรก และครั้งที่สอง นายวีระวัฒน์ฯ ได้เดินทางมาพบสมาคมฯ และชาวบ้านคู่กรณี จนมีการปรับความเข้าใจและชี้แจงเหตุผล จนทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจในการไกล่เกลี่ยและถอนฟ้องในที่สุด/.