ประชาธิปัตย์”ผลัดใบ”เพื่อไปสู่พรรคการเมืองระดับประเทศหรือ”ท้องถิ่น”

เมือง ไม้ขม รายงานพิเศษ
ประชาธิปัตย์”ผลัดใบ”เพื่อไปสู่พรรคการเมืองระดับประเทศหรือ”ท้องถิ่น”

 

 

แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นพรรคการเมืองที่”เก่าแก่” และเป็น”สถาบัน”ทางการเมืองของประเทศ แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคการเมือง”เก่าแก่”ที่มีลักษณะของ”เด็กอนุบาล” ที่คนในพรรคมีการ”ถีบถอง ชกต่อย” เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเป็นพรรคการเมืองที่มี”ก๊วน” ที่เป็น”กลุ่ม”เป็นภาคที่มักจะมีเรื่อง”ขัดแย้ง” แบ่งเหล่า ให้เป็นข่าว อยู่เป็นระยะๆเกิดขึ้นไม่ได้ขาด และส่วนใหญ่ก็เป็น”ภาพลบ”มากกว่า”ภาพบวก”
เช่นเดียวกับ หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่”ประชาธิปัตย์” ไม่ประสพความสำเร็จตามที่ต้องการ เพราะจำนวน สส.ที่ได้มาเพียง 25 ที่นั่ง ทั้งจากเขตและจากบัญชีรายชื่อ ที่”ตกต่ำ”กว่าการเลือกตั้งในปี 2562 ที่”ขี้เป็ดขี้ไก่” ก็ยังได้มาถึง 52 เสียง ไม่ถึงขนาด”ขี้ริ้วขี้เหร่” เหมือนกับการเลือกตั้งครั้งนี้
โดยเฉพาะใน”สมรภูมิ”ของ”ภาคใต้” ที่เป็น”ฐานที่มั่น”สำคัญของ”ประชาธิปัตย์ มีเพียง 2 จังหวัดที่ไม่”ขี้เหร่” คือ “สงขลา”และ”นครศรีธรรมราช” แต่ก็ไม่สามารถได้ สส.”ยกจังหวัด” อย่างที่มีการ”คุยโม้โอ้อวด” กันไว้ในตอน”หาเสียง ส่วนในจังหวัดอื่นๆนั้น กลายเป็น”พื้นที่สอบตก” เพราะถูกแย่ง”ที่นั่ง”จาก”ภูมิใจไทย,รวมไทยสร้างชาติ,พลังประชารัฐ “และ”ก้าวไกล” ที่สำคัญ คะแนนบัญชีรายชื่อ ที่เคยได้ถึง 10 ล้าน เสียงทั้งประเทศ เลือกตั้งครั้งนี้เหลือเพียง 9 แสนเสียง ได้ สส.”บัญชีรายชื่อ”เพียง 3 คน เท่านั้น


ผลพวงจากการแพ้แบบ”ญะญ่ายพ่ายจะแจ” ครั้งนี้ ทำให้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรค และ “เฉลิชัย ศรีอ่อน” ต้อง”จำนนต่อหลักฐาน” ด้วยการแสดงความ”รับผิดชอบลาออก”จากตำแหน่ง เพื่อ”เปิดทาง” ให้ มีการเลือก”หัวหน้าพรรค” และ”กรรมการบริหารพรรค”ชุดใหม่ เพื่อเข้ามา”กอบกู้” สร้างพรรคกันใหม่ เพื่อ”รับมือ”การ”เลือกตั้ง” ในสมัยหน้าที่คาดว่า”ไม่นาน” เพราะ”รัฐบาลใหม่” อาจจะ”อายุสั้น” จาก”มรสุม”ทางการเมือง เศรษฐกิจ และความ แตกแยก ที่”รุมเร้า” อยู่ในขณะนี้
แต่…นั่นแหละ”ประชาธิปัตย์”ก็คือ”ประชาธิปัตย์” ที่เป็นพรรคการเมืองที่”เก่าแก่” แต่นิสัยเด็ก”อนุบาล” พอเริ่มมีการเลือกตั้ง ก็แบ่งพวก แบ่งก๊วน และ”ทุบถอง ชกต่อย”กันจน”ชุลมุนวุ่นวาย” ให้”ขายขี้หน้าชาวประชา” ทั่วประเทศ และสุดท้าย การประชุม เพื่อ “เลือกหัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหารพรรค” ที่ผ่านมา เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็มีการ”เล่นเกม” ระหว่าง กลุ่มที่ต้องการ”หนุน”นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้กลับมาเป็น”หัวหน้าพรรค” กับกลุ่มของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่แม้จะประกาศว่าถ้า การเลือกตั้งครั้งนี้ “ประชาธิปัตย์”ได้ สส. น้อยกว่า ครั้งที่แล้ว จะ”วางมือทางการเมือง” ก็เป็นการ”วางมือ” ที่”ไม่จริง” เพราะ เป็น กลุ่มที่”เดินเกม” ในการไม่เอา”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรค สุดท้ายการประชุมเพื่อเลือก “หัวหน้าพรรค” ของ”ประชาธิปัตย์ก็”ล่มกลางคัน” ต้องมีการนัดประชุมครั้งใหม่ในวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา


และ ก็เป็นแบบ”ประชาธิปัตย์”อีกนั้นแหละ ที่มีการ”เล่นเกม” และ”กลุ่มก๊วน” เพื่อหวังชัยชนะ ด้วยการแก้กฎระเบียบข้อบังคับให้เพิ่มจำนวน กรรมการภาคเพิ่มขึ้นอีกภาคละ 24 คน เพื่อทำการ”โหวต” ให้กับ กลุ่มของ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ที่ต้องการ”หนุน” นายนราพัฒน์ แก้วทอง” สส.จ.พิจิตร ให้เป็น “หัวหน้าพรรค” คนใหม่ของ”ประชาธิปัตย์ .ให้ได้ชัยชนะ
จนเป็นเหตุให้”รองหัวหน้าพรรค 5 คน ทำหนังสือ”คัดค้าน” ไม่เห็นด้วย จนสุดท้ายต้องมีการเลื่อนการ”ประชุมใหญ่” เพื่อการเลือก”หัวหน้าพรรค” จากวันที่ 23 ก.ค. ออกไปก่อน และยังไม่ได้ กำหนด ว่าการเลือก “หัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหารพรรค” จะเป็นวันไหน
มีการ”วิพากษ์วิจารณ์” ว่า ความ”แตกแยก”ที่เกิดขึ้นใน”ประชาธิปัตย์” มาจาก 2 ปัจจัย คือกลุ่มที่”หนุน” ให้”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมาเป็น”หัวหน้าพรรค”อีกครั้ง เห็นว่า”อภิสิทธิ์” มีความ”เหมาะสม” ที่สุด เพราะมีภาพของนักการเมือง”ระดับชาติ” ที่เคยเป็น”นายกรัฐมนตรี” มาแล้ว เป็นที่รู้จักของ “เวทีโลก” มีความรู้ ความสามารถ ที่น่าจะ”ดีกว่า”คนอื่นๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่”ในข่าย” ของการเป็น”ผู้นำพรรค”ได้
แต่ แนวทางของ”อภิสิทธิ์” ถ้าเข้ามาเป็น”หัวหน้าพรรค” ก็เป็นที่รู้กันว่า จะไม่นำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการนำของ”เพื่อไทย” หรือของพรรคการเมืองอื่น ที่อาจจะมีการ”หักเห” ทาง”การเมือง ซึ่ง กลุ่มของ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน” มีความคิด ที่จะนำ”ประชาธิปัตย์” เข้าร่วมในการเป็นรัฐบาล ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะเป็นผู้”จัดตั้ง” เพราะ เชื่อมั่นว่าจำนวน สส. 25 เสียง ต้องได้”โค้วต้า”เป็น”รัฐมนตรี” ไม่น้อยกว่า 2 ตำแหน่ง และมีการ”นินทา” กันว่า มีความมั่นใจว่าจะได้ร่วมรัฐบาล จนมีการจอง”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
โดย”ข้อเท็จจริง”พรรคประชาธิปัตย์ หลัง”พ่ายแพ้”แบบ”หมดรูปหมดทรง”ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องแรกที่ต้องคิดและทำคือการ”กอบกู้พรรค”ด้วยการเลือก”หัวหน้าพรรค” และ”กรรมการบริหาร” ที่ดีที่สุด เข้ามาแก้ปัญหาความ”ตกต่ำ”ของพรรคที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การ”ค้นหาปัจจัยของความพ่ายแพ้” และการ”สร้างนโยบายทางการเมือง” ที่ต้อง”ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน” เพื่อการที่จะได้ “สส. “ที่มากกว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา
“ประชาธิปัตย์”ต้อง”คืนสู่ฟอร์ม” ของ”ประชาธิปัตย์” ด้วยการ”อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ด้วยการทำหน้าที่เป็น”พรรคฝ่ายค้าน” ซึ่งถึงแม้ว่า”ประชาธิปัตย์” วันนี้จะไม่มี”ขุนพลฝีปากกล้า” แต่ก็ยังมี”มวยหลัก” เช่น”ชวน หลีกภัย,บัญญัติ บรรทัดฐาน,จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” และ สส.อีกหลายคน ที่สามารถทำหน้าที่”ฝ่ายค้าน” อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการที่ กลุ่มการเมือง กลุ่มหนึ่ง ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ได้คิดว่าเรื่องสำคัญของ”ประชาธิปัตย์”คือเรื่องการ”กอบกู้พรรค” แต่เรื่องสำคัญคือการนำพรรค”เข้าร่วมรัฐบาล” โดย”มุ่งหวัง” ในเรื่องตำแหน่ง”รัฐมนตรี” ในกระทรวงใหญ่ๆที่มี”งบประมาณ”มากๆ เป็นเรื่องสำคัญ และเลือก”หัวหน้าพรรค” และ”กรรมการบริหารพรรค” ที่”เห็นด้วย”กับ”แนวทาง”การนำพรรคไปร่วมรัฐบาล จึงน่าจะเป็น นโยบาย ที่”ผิดพลาด” และไม่มีโอกาสที่จะนำพรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นพรรคการเมือง”ระดับประเทศ”อีกต่อไป
ประชาธิปัตย์ กำลังคิดแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้”มันสมอง”ว่า ในการ เลือกตั้งสมัยหน้า สนามเลือกตั้ง จะไม่มีพรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นพรรคคู่แข่งที่เข้ามา”แชร์” ที่นั่งของประชาธิปัตย์ในภาคใต้ เพราะ”2 ลุง” วางมือทางการเมืองไปแล้ว และ “ประชาธิปัตย์” จะสามารถได้ สส.ที่สูญเสียไปกลับมา ซึ่งแค่คิดก็ผิดแล้ว
ดังนั้นถ้า”ประชาธิปัตย์” ได้”หัวหน้าพรรค”และ”กรรมการบริหารพรรค”ที่ไม่เป็น”สากล” เป็นหัวหน้าพรรคที่”ไม่มีจุดขาย”มีประสบการณ์ทางการเมือง และเดินตาม”นโยบาย”ของ”ผู้มีบารมี”ที่ไม่ได้เป็น”ผู้บริหารพรรค”เพื่อหวังเพียงการ”ถอนทุน” จากการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่มีการ”ทุ่มทุน”เป็นจำนวนมากแต่”ล้มเหลว” อนาคตของ”ประชาธิปัตย์” ในการเลือกตั้งในอีก 2 ปีหรือ 4 ปี ข้างหน้า”โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นพรรคการเมือง”ระดับชาติ”หรือ”ระดับประเทศ”จะไม่เกิดขึ้น และสุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์จะเป็น”พรรคการเมืองท้องถิ่น”ที่ไม่ใช่”ภาคใต้” เพราะจะมี “สส.เพียงไม่กี่จังหวัดของภาคใต้ เช่นเดียวกับ”พรรคประชาชาติ” ที่เป็นพรรคการเมืองของคน 3 จังหวัด นั่นเอง
และนี่คือ”ชะตากรรมที่สยดสยอง” ยิ่งนัก สำหรับพรรคการเมือง”เก่าแก่”เกือบ 100 ปี ของประเทศไทย ที่อาจจะเป็นอดีต ถ้า คนของพรรคประชาธิปัตย์ ยัง”แตกแยก” และมี”กลุ่มก๊วน” เพื่อ”แย่งชิง”การเข้ามีอำนาจในพรรค โดยมี”เป้าหมาย” เพียงรวมเป็น”รัฐบาล” เพียงอย่างเดียว

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา