กาฬสินธุ์เร่งเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังหวั่นผลผลิตเสียหายจากพายุฤดูร้อนถล่ม

ชาวนาในเขตพื้นที่ใช้น้ำชลประทานที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตถึงแม้จะยังไม่ถึงอายุเก็บเกี่ยวเต็มที่ ระบุหวั่นได้รับความเสียหายจากพายุฤดูร้อน ที่จะทำให้รวงข้าวหักและจมน้ำ ด้านผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวเห็นใจชาวนาที่แบกรับภาระต้นทุนการผลิตสูง ลดราคาเกี่ยวข้าวจากไร่ละ 800 บาท เป็นไร่ละ 600 บาท ขณะที่ราคาขายข้าวเปลือกนาปรังยังตกต่ำ ก.ก.ละ 8 บาท ฝากถึงพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียง หากพรรคใดเน้นนโยบายอุ้มชาวนา ให้หลักประกันขายข้าวราคาสูง ได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน


วันที่ 30 เมษายน 2566 จากการติดตามบรรยากาศการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง ของเกษตรกรชาว จ.กาฬสินธุ์ พื้นที่ใช้น้ำของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวหรือเขื่อนลำปาว พบว่าพื้นที่ต้นน้ำเขตใน ต.ลำคลอง ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ และ ต.นาเชือก ต.บัวบาน อ.ยางตลาด เริ่มลงมือเก็บเกี่ยวกันแล้ว โดยการจ้างรถเกี่ยวข้าว เพื่อความรวดเร็ว ประหยัดเวลา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าชาวนาหลายราย ได้จ้างรถเกี่ยวข้าวทั้งๆที่เมล็ดข้าวยังไม่สุกแก่หรือยังไม่ได้อายุเก็บเกี่ยวเต็มที่


ทั้งนี้ จากการสอบถามระบุว่า เหตุที่เร่งรีบเก็บเกี่ยว เนื่องจากหวั่นเกรงจะได้รับความเสียหายจากพายุฤดูร้อน ที่หากเกิดพายุดังกล่าวจะทำให้รวงข้าวหัก และต้นข้าวล้มจมน้ำ ขณะที่บางคนบอกว่าเป็นช่วงเริ่มต้นเก็บเกี่ยว แหล่งรับซื้อให้ราคา ก.ก.ละ 8-8.50 บาท หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวพร้อมกัน มีปริมาณข้าวเปลือกเข้าตลาดรับซื้อจำนวนมาก อาจจะทำให้พ่อค้าคนกลางกดราคาลงถึง ก.ก.ละ 5 บาทก็อาจเป็นได้ เพราะฤดูแล้งปีนี้ชาวนาทำนาปรังบริเวณกว้าง เนื่องจากชลประทานลำปาวมีน้ำเพียงพอ จึงส่งน้ำเข้าแปลงนาอย่างทั่วถึง


ขณะที่นางจี อินทร์ศิริ ผู้ประกอบการรถรับจ้างเกี่ยวข้าว บ้านโนนแดง ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในส่วนของการคิดค่าบริการในฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังนี้ ได้แจ้งแก่ชาวนาว่าคิดในราคาไร่ละ 600 บาท ลดลงจากที่เคยเก็บเกี่ยวข้าวนาปีไร่ละ 800 บาท ทั้งนี้เนื่องจากเห็นอกเห็นใจชาวนา ที่แบกรับต้นทุนการทำนาที่สูง ตั้งแต่ค่าจ้างไถ พรวน ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว ค่าแรงงาน โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีกระสอบละ 1,300-1,500 บาท ขณะที่ราคารับซื้อข้าวเปลือกตามแหล่งรับซื้อทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งในช่วงแรกของการเปิดลานรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังฤดูกาลนี้ อยู่ที่ ก.ก.ละ 8-8.50 บาท ซึ่งถือว่ายังตกต่ำอยู่ ทำให้ชาวนายังคงเสี่ยงกับการทำนาขาดทุนซ้ำซากต่อไป


อย่างไรก็ตาม มีเสียงสะท้อนจากชาวนาในจ.กาฬสินธุ์ว่า หากราคารับซื้อข้าวเปลือก ทั้งนาปีและนาปรัง อยู่ที่ ก.ก.ละ 12 บาท ยังพอจะได้กำไรอยู่บ้าง หักรายจ่ายแล้วคงจะพอเหลือไปใช้หนี้ปุ๋ยเคมีและหนี้ ธ.ก.ส.บ้าง เพราะหากราคาขายข้าวเปลือกอยู่ที่ ก.ก.ละ 8-8.50 บาท ยังเสี่ยงกับการขาดทุน ดังนั้น ในช่วงที่กำลังอยู่ในระหว่างหาเสียงของบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองอยู่นี้ หากพรรคใดหรือผู้สมัครคนใด ยืนยันชัดเจนว่าจะช่วยเหลือชาวนา ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแบกรับภาระค่าใช้จ่าย โดยเข้ามาลดราคาปุ๋ยเคมี ลดราคาน้ำมัน และให้หลักประกันในการเพิ่มราคารับซื้อผลผลิตทางการเกษตร รับรองพรรคนั้นได้เป็นผู้แทน และได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน เพราะชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และถือว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้