“รองต่อ” สนธิกำลังคอมมานโด-ตำรวจไซเบอร์-สตม.จับมือเอฟบีไอ-ยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส ปูพรม 36 จุดใน 4 จังหวัด ทลายรังคอลเซ็นเตอร์ อ้างเอฟบีไอตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน

“รองต่อ” สนธิกำลังคอมมานโด-ตำรวจไซเบอร์-สตม.จับมือเอฟบีไอ-ยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส ปูพรม 36 จุดใน 4 จังหวัด ทลายรังคอลเซ็นเตอร์ อ้างเอฟบีไอตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน


เมื่อวันที่ 21 มี.ค.พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3 พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รองผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.บุญฤทธิ์ ศรีวิจิตร รอง ผบก.ปฏิบัติการพิเศษ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ และยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส ,สนธิกำลังตำรวจ บช.สอท. บก.ตม.3 ชุดปฎิบัติการพิเศษคอมมานโด ตำรวจชลบุรี และ ปปง.เปิดปฎิบัติการทลายรังคอลเซ็นเตอร์ ปิดล้อมตรวจค้น 36 เป้าหมาย ในพื้นที่จ.ชลบุรี จ.ระยอง,จ.สมุทรปราการ และ จ.ร้อยเอ็ด


โดยจุดที่น่าสนใจ เป็นการตรวจค้นบ้านเลขที่ 388/53 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งบ้านดังกล่าว มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว จากการตรวจสอบพบ เอกสารหลักฐาน อาทิ สมุดบัญชีธนาคาร จำนวนมาก โทรศัพท์มือถือกว่า 10 เครื่อง รถยนต์ 4 คัน อาวุธปืน1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน พร้อมกันนี้ ได้เชิญตัวเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นชายชาวอินเดีย พร้อมกับหญิงไทย 3 คน มาทำการสอบปากคำ
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ปฎิบัติการครั้งนี้ เป็นการร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา หรือเอฟบีไอ และ United States Secret Service หรือซีเคร็ท เซอร์วิส ของประเทศสหรัฐอเมริกา ในการแสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ


โดยกรณีนี้ สืบเนื่องจากทั้งสองหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้รับรายงานว่ามีผู้เสียหาย ซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ใช้อุบายหลอกเหยื่อ โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ หลอกว่าธุรกรรมการเงิน และเงินในบัญชีของเหยื่อมีความผิดปกติ รวมทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตลอดระยะเวลา 2 ปี พบว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อ 365 ราย เสียหายกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งจากแนวทางการสืบสวนพบว่า มีการโอนเงินข้ามประเทศและใช้ประเทศไทยเป็นฐานที่ตั้ง จึงได้นำข้อมูลสืบสวนหารือกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ก่อนที่ทางผบ.ตร.จะสั่งการให้ บช.สอท. ตรวจสอบ จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว


รองผบ.ตร.กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนของการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญและเป็นนโยบายแห่งชาติ ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญ ซึ่งทาง พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเพิ่มความเข้ม สกัดกั้นไม่ให้กลุ่มคนร้ายต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย และใช้ประเทศไทย เป็นที่หลบซ่อนหรือเตรียมการในการกระทำความผิด อย่างไรก็ตามจะทำการขยายผล พร้อมประสานงานกับทางสำนักงาน ปปง. ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อทำการยึดทรัพย์ขบวนการนี้ต่อไป
โดยในวันพรุ่งนี้ (22มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ บช.สอท. จะมีการแถลงข่าว สรุปผลปฎิบัติการ ซึ่งทาง พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.จะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตนเอง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645