“วราวุธ” เชื่อมั่น ไทยจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผ่านการดูแลรักษาป่า

“วราวุธ” เชื่อมั่น ไทยจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผ่านการดูแลรักษาป่า

 


วันนี้ (29 สิงหาคม 2565) เวลา 11.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสืบสานพระราชดำริพระพันปี” และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงความสำคัญของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ และมีคณะผู้บริหารฯ ผู้แทนภาคเอกชน ตลอดจนเครือข่ายป่าชุมชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

นายวราวุธ กล่าวว่า การสืบสานโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของกระทรวงฯ และถือเป็นโชคดีของพสกนิกรชาวไทย ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้และทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ โดยทรงยึดถือแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาด้วยแนวทางผสมผสาน ให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน ทั้งนี้ ภาคป่าไม้ มีบทบาทสำคัญต่อการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนขนาดใหญ่ของโลก การอนุรักษ์และปลูกป่าจึงเป็นกลไกสำคัญในการช่วยกักเก็บคาร์บอน บรรเทาความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้ในทุกปีจากการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

“ปัจจุบัน กระทรวงฯ ได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนับสนุนการปลูกป่าในพื้นที่ของรัฐโดยผ่านกลไกของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ โครงการ T-VER ซึ่งเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของคนไทย จะทำให้ประเทศสามารถเป็นผู้นำในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน พร้อมส่งต่อความเขียวขจีและความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป”